ตำนานพื้นบ้านญี่ปุ่น เรื่อง กระจกแห่งมัตสึยาม่า
- By : Admin
- Category : ตำนาน-นิทาน
ตำนานพื้นบ้านญี่ปุ่น เรื่อง กระจกแห่งมัตสึยาม่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ที่หมู่บ้านเอชิโกะ จังหวัดมัตสึยาม่า ดินแดนที่อยู่ห่างไกลของ ประเทศญี่ปุ่น มีสองสามีภรรยาคู่หนึ่งอาศัยอยู่ พวกเขาแต่งงานและอยู่กินด้วยกันมาหลายปี จนมีลูกสาวเล็กๆด้วยกัน 1 คน เธอเป็นทั้งความสุข ความหวังและความภาคภูมิใจของสองสามีภรรยาและพวกเขาก็ดูแลเด็กหญิงตัวน้อยอันเป็นแก้วตาดวงใจมาอย่างดีโดยตลอด
วันแห่งความทรงจำที่มีค่ามากที่สุดสำหรับครอบครัวนี้คือ การเดินเที่ยวชมวัดเมื่อเด็กน้อยอายุได้ 13 วัน วันนั้นผู้เป็นแม่ได้เห็นเธอสวมชุดกิโมโนเพื่อทำพิธีขอบคุณเทพเจ้า เทศกาลตุ๊กตาครั้งแรกของเด็กสาวเริ่มต้นขึ้นเมื่อพ่อแม่ได้มอบตุ๊กตาฮินะที่เป็นสัญลักษณ์ของเด็กผู้หญิงให้เธอเมื่อปีที่แล้ว ที่เธอประสบความสำเร็จในการเรียน และวันนี้เด็กหญิงตัวน้อยในวันนั้นมีอายุครบ 7 ขวบแล้ว และอีกไม่นานเธอก็จะเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ
วันหนึ่งที่บ้านก็มีเรื่องให้น่าตื่นเต้น เมื่อผู้เป็นพ่อถูกเรียกตัวให้เข้าไปที่เมืองหลวงเพื่อทำธุรกิจ ในยุคปัจจุบันการเดินทางโดยรถไฟเป็นการเดินทางที่รวดเร็วที่สุด แต่สมัยนั้นมันยากที่จะคาดเดาเหลือเกินว่าการเดินทางจากมัตซึยามาสู่เกียวโตนั้นจะเนิ่นทาเพียงไร ด้วยถนนหนทางที่ขรุขระ ซึ่งคนธรรมดาจะต้องใช้เท้าในการเดินทางทุกย่างก้าวเป็นระยะทางหลายร้อยไมล์ (1 ไมล์ = 1.6 กิโลเมตร )
ฝ่ายภรรยาจึงมีความวิตกกังวลและเป็นห่วงผู้เป็นสามีอย่างมาก เธอช่วยสามีเตรียมข้าวของสำหรับการเดินทางที่ยาวนาน โดยรู้ว่าการเดินทางที่ยากลำบากนั้นวางอยู่ตรงหน้าของเขา ความวิตกกังวลนี้ผู้เป็นสามีเห็นได้ชัดว่าเธอต้องการที่จะไปกับเขา แต่ระยะทางนั้นก็ไกลเกินกว่าที่สองแม่ลูกจะร่วมเดินทางไปด้วยได้ จึงทำให้เธอจำใจที่จะต้องรอคอยผู้เป็นสามีอยู่ที่บ้านเพื่อไม่ให้ลูกลำบาก
ในที่สุดทั้งสามคนพ่อแม่ลูกก็ยืนอยู่ที่ระเบียงบ้านพร้อมหน้ากัน
“คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ ผมจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด” ผู้เป็นสามีกล่าว “ตอนที่ผมไม่อยู่ ฝากคุณดูแลทุกอย่างในบ้าน และดูแลลูกของเราให้ดีด้วยนะ”
“ใช่เราจะดูแลตัวเองให้ดี.. แต่คุณ..คุณต้องดูแลตัวเองให้ดีนะคะ แล้วรีบกลับมานะ ฉันกับลูกจะรอคุณอยู่ที่นี่ทุกวัน” ภรรยาพูดพร้อมน้ำตาที่ไหลเหมือนสายฝนจากดวงตาของเธอ
เด็กหญิงตัวน้อยเป็นคนเดียวที่ยังยิ้มได้เพราเธอยังเด็กมากและยังไม่รู้สึกถึงความโศกเศร้าจากการพรากจากกัน และไม่รู้ด้วยว่า การไปเมืองหลวงนั้นแตกต่างจากการเดินไปที่หมู่บ้านถัดไปซึ่งพ่อของเธอทำอยู่เป็นประจำอย่างไร เธอได้วิ่งไปที่ด้านข้างของผู้เป็นพ่อแล้วจับที่ชายเสื้อของเขา
“พ่อคะ หนูจะรอพ่อกลับมา แต่พ่ออย่าลืมเอาของขวัญมาให้หนูด้วยนะคะ”
ขณะที่ผู้เป็นพ่อหันหน้ามามองภรรยาที่กำลังร้องให้ และยิ้มอย่างแจ่มใสให้กับเด็กหญิงที่กำลังกระตือรือร้นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนการเดินทาง เขารู้สึกราวกับว่ามีบางคนดึงผมของเขากลับมาด้วย จึงเป็นเรื่องยากมากที่เขาจะทิ้งสองแม่ลูกให้อยู่กันเพียงลำพัง เนื่องจากพวกเขายังไม่เคยแยกจากกันมาก่อน แต่เขารู้ว่าที่เขาต้องไปเพราะมีความจำเป็น เขาใช้ความพยายามอย่างมากในการหยุดคิด หยุดเป็นห่วงและตัดสินใจอย่างเฉียบขาดแล้วเดินออกประตูไป ฝ่ายภรรยาก็กอดลูกไว้ในอ้อมกอด แล้วเดินตามสามีไปจนถึงหน้าทางแยกของบ้านจนกระทั้งสามีเดินห่างออกไปเรื่อยๆจนลับตา
“ตอนนี้พ่อไม่อยู่ หนูกับแม่ต้องช่วยกันดูแลทุกอย่างจนกว่าพ่อจะกลับมานะจ๊ะ ลูกรัก” แม่พูดในขณะที่จูงมือลูกสาวเดินกลับบ้าน
“ค่ะ หนูจะเป็นเด็กดี” เด็กหญิงพูดพร้อมกับพยักหน้า “และเมื่อพ่อกลับมาแล้วแม่อย่าลืมบอกพ่อนะคะ ว่าหนูเป็นเด็กดีแค่ไหน เผื่อพ่อจะมอบของขวัญให้กับหนู”
“พ่อจะมอบของขวัญให้หนูแน่นอนจ๊ะ แม่รู้เพราะพ่อบอกกับแม่ว่าพ่อจะซื้อตุ๊กตามาให้กับหนู ดังนั้น หนูต้องคิดถึงพ่อและอวยพรให้พ่อเดินทางปลอดภัยจนกว่าพ่อจะกลับมานะจ๊ะ”
“ดีจังเลยค่ะ หนูรู้ว่าเมื่อพ่อกลับมาหนูจะมีความสุขมาก” เด็กหญิงพูดพร้อมปรบมืออย่างดีใจ ใบหน้าของเธอก็สดใสขึ้นมา ผู้เป็นแม่มองหน้าของเด็กน้อยด้วยความรักละความเอ็นดู
ระหว่างที่รอผู้เป็นสามีกลับบ้าน ฝ่ายภรรยาก็เริ่มทำงานเพื่อเย็บเสื้อผ้าสำหรับใส่ในฤดูหนาวให้กับพวกเขาทั้ง 3 คน เธอตั้งล้อแบบไม้และหมุนปั่นด้ายอย่างเรียบง่ายก่อนที่จะเริ่มลงมือเย็บให้เป็นรูปเป็นร่าง ในช่วงที่เธอทำงานนั้นเธอก็ได้สอนเด็กหญิงตัวน้อยอ่านหนังสือจากหนังสือเก่าๆที่มีอยู่ สองแม่ลูกใช้ชีวิตประจำวันด้วยกันไปอย่างเรียบง่ายจนสามีเสร็จธุระและเดินทางกลับมา
คงเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่ไม่รู้จักชายคนนั้นที่จะจำเขาได้ดี เขาได้เดินทางวันต่อวัน ผิวหนังสัมผัสกับสภาพอากาศทั้งหมดประมาณ 1 เดือนเศษ ทำให้ผิวของเขาถูกแดดเผาจนเป็นสีบรอนซ์ แต่ภรรยาและลูกรักของเขารู้ว่าเป็นเขาได้อย่างรวดเร็วและวิ่งไปหาเขาทันทีหลังจากที่เห็น สองแม่ลูกจับที่แขนเสื้อของผู้เป็นพ่อคนละข้าง สามคนพ่อแม่ลูกสวมกอดกันอย่างดีใจและสำหรับพวกเขาแล้ว การเดินทางอันยาวนานและความห่างไกลที่พรากพวกเขาออกจากกันมันได้สิ้นสุดลงแล้ว สองแม่ลูกช่วยกันขนของของผู้เป็นพ่อแล้วชวนเขาเข้าบ้าน รองเท้าฟางและหมวกร่มขนาดใหญ่ของเขาได้ถูกถอดออก แล้วเขาก็นั่งอยู่ท่ามกลางห้องนั่งเล่นเก่าที่คุ้นตา ซึ่งเคยว่างเปล่าในตอนที่เขาออกเดินทาง
ทันทีที่พวกเขานั่งลงบนเสื่อสีขาว ผู้เป็นพ่อก็เปิดตะกร้าไม้ไผ่ที่เขานำมาด้วยแล้วหยิบตุ๊กตาที่น่ารักตัวหนึ่งออกมาพร้อมด้วยกล่องขนมเค้กสีสวยท่าทางน่าอร่อย
“นี่ไง ” เขาพูดกับเด็กหญิงตัวน้อย “นี่เป็นของขวัญสำหรับหนู มันเป็นรางวัลที่หนูช่วยดูแลแม่และดูแลบ้านในช่วงที่พ่อไม่อยู่”
“ขอบคุณค่ะ” เด็กหญิงพูดแล้วยื่นมือมารับของขวัญจากผู้เป็นพ่อ ของจากเมืองหลวงนั้นงดงามกว่าสิ่งใดที่เธอเคยได้เห็นมาก่อนหน้านี้ ไม่มีคำพูดใดบอกได้เลยว่าเด็กหญิงตัวน้อยนั้นดีใจมากขนาดไหน ใบหน้าของเธอดูราวกับว่า มันจะละลายไปในความสุข
จากนั้นผู้เป็นพ่อก็เอื้อมมือเข้าไปในตะกร้าอีกครั้งแล้วหยิบกล่องไม้รูปสี่เหลี่ยมออกมา กล่องใบนี้ผูกด้วยเชือกสีแดงและสีขาวอย่างบรรจง จากนั้นเขาก็ได้ส่งกล่องนั้นให้กับภรรยาและพูดว่า
“และนี่สำหรับคุณ”
ภรรยารับกล่องใบนั้นมาจากสามีและเปิดมันออกอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็หยิบแผ่นโลหะกลมๆที่มีด้ามจับออกมาจากล่อง ด้านหนึ่งของแผ่นโลหะนั้นส่องสว่างและเปล่งประกายราวกับคริสตัล แต่อีกด้านหนึ่งไม่มีแสงสว่างแต่กลับถูกแกะสลักรูปต้นสนและนกกระสาอย่างสวยงาม ผู้เป็นภรรยาไม่เคยเห็นของสิ่งนี้มาก่อนในชีวิต เพราะเธอเกิดและเติบโตอยู่ที่จังหวัดเอชิโกะแห่งนี้และไม่เคยเดินทางออกนอกตัวเมืองที่อยู่เลยแม้แต่ครั้งเดียว เธอจ้องมองลงไปในด้านที่ส่องสว่างสวยงามของวัตถุนั้นแล้วเงยหน้ามองผู้เป็นสามีจากนั้นก็ถามด้วยความสงสัยปนประหลาดใจว่า
“ฉันเห็นใครบางคนจ้องมองฉันมาจากของสิ่งนี้ นี่คุณเอาอะไรมาให้ฉันกันแน่คะ”
สามีได้ฟังที่ภรรยาพูดก็หัวเราะขึ้นเบาๆแล้วพูดว่า
“ใบหน้าที่คุณเห็นในนั้น มันเป็นใบหน้าของคุณเอง สิ่งที่ผมนำมาให้เขาเรียกกันว่า กระจก ใครก็ตามที่มองเข้าไปในพื้นผิวที่ส่องสว่างนั้นก็จะสามารถมองเห็นรูปร่างหน้าตาของตัวเองสะท้อนออกมา กระจกถูกใช้งานในเมืองหลวงและเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้หญิง ดังที่เขาว่ากันว่า ดาบเปรียบเสมือนวิญญาณของซามูไร กระจก เปรียบเสมือนวิญญาณของผู้หญิงยังไงล่ะ และอีกอย่างนะ ตามธรรมเนียมแล้วกระจกเปรียบเหมือนดัชนีวัดหัวใจของผู้หญิง ถ้าคุณทำให้มันสดใส ชัดเจนก็เหมือนหัวใจที่บริสุทธิ์ของคุณมันจึงเหมือนเป็นสมบัติอย่างหนึ่งเช่นกัน ดังนั้นคุณต้องคอยระมัดระวัง อย่าให้มันแตกและทำความสะอาดมันอยู่เสมอๆ ”
ภรรยานั่งฟังสิ่งที่สามีบอกอย่างตั้งใจ และบอกยินดีที่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จากนั้นก็มองกระจกที่ได้รับมาอย่างภาคภูมิใจ
“ถ้ากระจกนี่เป็นตัวแทนจิตวิญญาณของฉัน ฉันจะต้องเก็บรักษาสมบัติชิ้นนี้เอาไว้อย่างดีและใช้มันด้วยความระมัดระวัง” พูดจบเธอก็ยกมันขึ้นสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้พร้อมกับซาบซึ้งอย่างที่สุดที่ผู้เป็นสามี มีใจนึกถึงเธอ จากนั้นก็วางมันลงกล่องอย่างทะนุถนอม
ภรรยาเห็นว่าสามีของเธอนั้นเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางอันยาวนาน เธอจึงเริ่มเตรียมอาหารและทำทุกอย่างที่จะอำนวยความสะดวกแก่เขาให้มากที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ ในช่วงเวลาหลังทานอาหารเย็นเสร็จ จึงเป็นช่วงเวลาที่ทั้งครอบครัวมานั่งห้อมล้อมหน้าหลังผู้เป็นพ่อและสามี เพื่อที่จะฟังเรื่องเล่าจากการเดินทางอันแสนไกลของเขา
เวลาผ่านไปหลายปีหลังจากที่เขาเดินทางกลับจากการไปทำธุรกิจที่ในเมืองหลวง ชายผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว ยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อได้มองลูกสาวตัวเล็กๆของเขาเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันลูกสาวตัวน้อยของเขาในวันนั้นได้กลายมาเป็นสาวสวยวัย 16 ปี ด้วยความเป็นที่รักและเป็นแก้วตาดวงใจของทุกคนในบ้านที่เขาและภรรยาพากันมอบความรักและการเอาใจใส่อย่างดีมาโดยตลอด ภรรยาของเขาก็เป็นผู้หญิงที่มีจิตใจดีและเพียบพร้อมทุกอย่าง อาจจะด้อยก็แค่ฐานะทางการเงินเท่านั้น แต่เขาก็ภูมิใจในตัวของผู้หญิงอันเป็นที่รักทั้งสองมาก และเขารู้สึกว่า ชีวิตของเขาช่างมีความสุขนักและคิดว่าเขาคงจะไม่เคยมีความสุขเท่าที่มีตอนนี้มาก่อน
แต่อนิจจา! ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่คงอยู่ได้ตลอดไป แม้แต่ดวงจันทร์ที่เปล่งแสงสว่างในความมืดทุกคืนก็ไม่ได้มีรูปร่างกลมสวยสมบูรณ์แบบเสมอไป ดอกไม้สวยๆเมื่อเริ่มผลิบานและก็ร่วงโรย ในที่สุดความสุขของครอบครัวนี้ก็ได้พังทลายลง เติมเต็มไปด้วยความโศกเสร้าและเจ็บปวดเมื่อวันหนึ่งภรรยาและมารดาที่อ่อนโยนนั้นต้องจากพวกเขาไปแบบไม่มีวันกลับมา…
ในวันแรกของการเจ็บป่วย ผู้เป็นสามีและลูกสาวคิดว่าคงเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดาจึงไม่ได้มีความกังวลเป็นพิเศษ แต่เวลาผ่านไป อาการของผู้เป็นภรรยาก็ไม่ดีขึ้น แต่กลับแย่ลงเรื่อยๆ ผู้เป็นสามีพยายามตามหาหมอที่มีความเก่งกาจที่สุดจากในเมืองและใกล้เคียงมารักษา แต่ก็ไม่ช่วยให้ดีขึ้นได้ สุขภาพของภรรยาก็เริ่มทรุดโทรมลงทุกวัน พ่อกับลูกสาวต่างพากันเศร้าใจ เด็กหญิงตัวน้อยที่ตอนนี้โตเป็นสาวแล้ว ก็คอยดูแลแม่ของเธอตลอดทั้งวันทั้งคืนและไม่เคยออกห่างจากผู้เป็นแม่เลย
อยู่มาวันหนึ่งในขณะที่เด็กหญิงนั่งใกล้ๆกับเตียงของแม่ที่ป่วยอยู่นั้น ผู้เป็นแม่ที่ ตอนนี้สภาพของเธออ่อนแรงลงจนเห็นได้ชัด แต่เธอก็พยายามซ่อนความเจ็บปวดจากโรคร้ายที่รุมเร้า แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับลูกสาว พลางจับมือลูกสาวขึ้นมาอย่างช้าๆ อย่างเหนื่อยอ่อน
“ลูกรัก แม่รู้ว่าแม่คงจะอยู่กับลูกได้อีกไม่นาน เมื่อแม่จากไปแล้ว ขอให้ลูกดุแลพ่อ และทำหน้าที่ของลูกให้ดีที่สุดนะ” ยิ่งพูดลมหายใจของเธอก็เริ่มทำงานหนักและพูดได้ยากลำบากมากยิ่งขึ้น
“แม่จ๋า” เด็กหญิงพูดพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้มเหมือนก๊อกน้ำที่เสียปิดยังไงก็ปิดไม่ได้ “แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ สิ่งที่แม่ต้องทำตอนนี้คือแม่ต้องพักผ่อนและทำใจให้สบายแม่จะได้หายเร็วๆ เพื่อบ้านของเราจะได้มีความสุขกันอีกครั้งนะคะแม่…”
“แม่รู้จ๊ะ แม่รู้ว่าหนูกับพ่อเป็นห่วงแม่มากแค่ไหน แต่แม่คิดว่าแม่ไม่ไหวอีกแล้ว แม่รู้ชะตากรรมของตัวเองดี แต่ตอนนี้แม่มีบางสิ่งบางอย่างที่จะบอกลูกก่อนที่แม่จะไม่มีโอกาส”
เธอยื่นมือไปหยิบกล่องสี่เหลี่ยมที่ผูกด้วยผ้าไหมและพู่เอาไว้อย่างสวยงาม ถึงแม้กล่องใบนี้จะดูเก่ามาก แต่ยังดูสะอาดสะอ้าน เนื่องจากมันถูกดูแลและเก็บรักษาเอาไว้อย่างดี
“เมื่อลูกยังเล็ก พ่อของลูกได้เดินทางไปทำงานที่เมืองหลวง ตอนกลับพ่อได้นำของสิ่งนี้มามอบให้กับแม่และบอกว่า มันเป็นสมบัติที่มีค่า พ่อเรียกของสิ่งนี้ว่ากระจก แม่ขอมอบมันให้กับลูกนะจ๊ะ ถ้าหากวันไหนที่หนูคิดถึงแม่ ให้ลูกนำกระจกบานนี้ออกมาแล้วมองในด้านที่ส่องสว่างเป็นประกาย ลูกจะเห็นแม่อยู่ข้างในนั้นเสมอ และหากวันไหนที่ลูกเหงาหรือเศร้าใจเมื่อมองมาที่กระจกลูกจะเห็นแม่ยิ้มและให้กำลังใจลูก ลูกสามารถพุดคุยกับแม่ได้เสมอถึงแม้ว่าแม่จะไม่สามารถพูดโต้ตอบกับลูกได้ ให้ลูกรู้ว่าไม่ว่ายังไงแม่ก็จะอยู่ข้างๆลูกเสมอ ”
หลังจากที่พูดจบเธอก็จากไปอย่างสงบ ทิ้งให้พ่อกับลูกสาวกอดคอกันร้องให้ด้วยความโศกเศร้าและขมขื่น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเตรียมใจเอาไว้บ้างแล้ว แต่เมื่อเวลานั้นมาถึงจริงๆก็ไม่สามารถที่จะควบคุมตนเองให้ผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างง่ายดาย ความเศร้าสลดนี้ผ่านไปอย่างเฉียบพลัน แต่ภายในจิตใจของเด็กสาวกลับรู้สึกเหมือนชีวิตของเธอเหมือนรกร้างและว่างเปล่า ความสุขและความสดใสหายออกไปจากแววตา และเมื่อพ่อของเธอต้องออกไปทำงาน เธอจึงต้องอยู่ที่บ้านเพียงลำพังเพื่อคอยทำหน้าที่ของเธอ ยิ่งเธอต้องอยู่เพียงลำพัง ความเหงาและความโศกเศร้าของเธอก็หนักหน่วงเกินกว่าที่เธอจะทนได้ เธอเดินเข้าไปในห้องนอนของผู้เป็นแม่และนั่งลงข้างเตียงก่อนที่จะร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด ราวกับว่าหัวใจของเธอกำลังจะแตกสลาย เด็กหญิงผู้น่าสงสารโหยหาความรัก ใบหน้าที่ยิ้มแย้มและเสียงที่อ่อนโยนของผู้เป็นมารดาดังเช่นที่เธอเคยได้รับมาในก่อนหน้านี้ เธอนึกถึงเรื่องราวเก่าๆกับความทรงจำต่างๆที่เคยมีความสุขในครอบครัว จนถึงวันที่แม่จากเธอไป ทันใดนั้นเธอก็ลุกขึ้นนั่ง ในใจนึกถึงคำพูดสุดท้ายของผู้เป็นแม่ที่ดังขึ้นในความทรงจำ หลังจากที่จมอยู่กับความโศกเสร้ามานาน
“ใช่แล้ว แม่ได้มอบกระจกให้กับฉันและบอกด้วยว่าเมื่อฉันมองเข้าไปในกระจกฉันจะได้พบกับแม่อีกครั้ง ฉันนี่โง่มากเลย ฉันลืมคำพูดของแม่ไปเสียสนิท “
จากนั้นเธอก็รีบปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มและเดินไปที่ตู้หยิบกล่องสี่เหลี่ยมที่ผูกด้วยไหมกับพู่ออกมาอย่างทะนุถนอม เธอแกะไหมออกและหยิบกระจกข้างในออกมาด้วยความหวังว่าเมื่อเธอมองเข้าไปจะเห็นใบหน้าแม่สุดที่รักของเธอยิ้มให้กับเธออย่างอ่อนโยน เธอมองเข้าไปในกระจกอย่างช้าๆด้วยความตื่นเต้น แล้วในใจของเธอก็มีความสุขรื้นขึ้นมาอีกครั้ง คำพุดของแม่เป็นจริง เธอคิดในใจ ในกระจกทรงกลมที่อยู่ข้างหน้าเธอนั้น เธอเห็นใบหน้าแม่ของเธอ แต่ไม่ใช่ใบหน้าของแม่ในตอนกำลังเจ็บป่วย แต่กลับเป็นแม่ในใบหน้าที่สวยงามเหมือนเธอได้เห็นหน้าของผู้เป็นแม่ในสมัยที่เธอยังเป็นเด็กเล็กๆอีกครั้ง
นับจากวันนั้นเป็นต้นมาความเศร้าโศกที่เธอมีก็ลดลงไปอย่างมาก ทุกเช้าเธอจะรีบตื่นขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่หุงหาข้าวปลาอาหารเพื่อผู้เป็นพ่อ และทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า ล้างจาน ผ่าฟืนและกิจวัตรประจำวันต่างๆ ก่อนนอนเธอก็จะหยิบกระจกออกมาส่องหน้าตัวเองและพูดคุยอย่างสนุกสนานราวกับว่าเธอนั้นกำลังเล่าเรื่องราวต่างๆที่พบเจอมาให้กับผู้เป็นแม่ได้ฟัง สะท้อนหัวใจที่ไร้เดียงสาของเด็กออกมาอย่างเรียบง่าย เพราะเธอเชื่อว่า ใบหน้าในกระจกนั้นเป็นวิญญาณของแม่เธอ หลังจากนั้นเธอก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างนี้เป็นประจำ ยิ่งเธอโตขึ้นเธอก็มีนิสัยเหมือนมารดาของเธอมาก เธออ่อนโยนและใจดีต่อทุกๆคนและเป็นลูกสาวที่น่ารักของผู้เป็นพ่ออยู่เสมอ
หนึ่งปีแห่งการจากไปของผู้เป็นแม่ ในครอบครัวเล็กๆของเธอตอนนี้ก็ได้มีสมาชิกใหม่ เมื่อพ่อของเธอแต่งงานใหม่อีกครั้ง และถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องยากที่ลูกสาวจะต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของแม่เลี้ยง แต่เธอก็พยายามทำมันให้ดีที่สุด จากการกระทำของแม่ก่อนหน้าที่แม่จะจากเอไปทำให้เธอยังคงรักและพยายามที่จะเป็นอย่างที่แม่อยากให้เธอเป็น คือ เธอมีความมุ่งมั่นกตัญญูและซื่อสัตย์ต่อภรรยาใหม่ของพ่อทุกประการ ทำให้การดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้การปกครองรูปแบบใหม่นั้นราบรื่น ไม่มีความขัดแย้งหรือไม่ลงรอยกันเกิดขึ้นระหว่างแม่เลี้ยงกับลูกสาว ทำให้ผู้เป็นพ่อรู้สึกสบายใจ
แต่มันเป็นแค่ความคิดของผู้ชายเท่านั้น โดยที่ผู้เป็นพ่อไม่เคยรู้เลยว่า ภรรยาใหม่ของเขานั้นก็เป็นเหมือนแม่เลี้ยงทั่วๆไป ที่ไม่ชอบใจลูกติดสามี เมื่อวันและเวลาผ่านไปความไม่ชอบหน้าลูกเลี้ยงก็มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
บางครั้งเธอไปหาสามีของเธอและพร่ำบ่นเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกเลี้ยง แต่ผู้เป็นพ่อที่รู้จักนิสัยของลูกสาวเป็นอย่างดีนั้นกลับไม่เชื่อตามที่ผู้เป็นภรรยาบอก และแทนที่จะลดความรักที่มีต่อลูกสาวตามที่ภรรยาใหม่ต้องการ แต่ยิ่งได้ฟังภรรยาบ่นเรื่องลูกสาวก็ยิ่งเป็นห่วงและคิดถึงลุกสาวมากยิ่งขึ้น ในไม่ช้าภรรยาใหม่ก็เห็นว่าเขาแสดงความเป็นห่วงลูกและกังวลมากขึ้นกว่าเดิม สิ่งนี้ทำให้ความไม่พอใจของเธอกำเริบขึ้นมาก จากนั้นเธอก็เริ่มคิดในใจว่า มีวิธีใดบ้างที่เธอจะสามารถขับไล่ลูกเลี้ยงให้ออกไปจากบ้านที่เธออยู่ได้ เธอจะได้อาศัยอยู่กับสามีเพียงลำพังโดยไม่มีใครมาแย่งความรักและความสำคัญของเธอไป
หลังจากนั้นมาเธอก็เริ่มแอบดูพฤติกรรมของลูกเลี้ยงอย่างระมัดระวัง และวันหนึ่งเธอแอบเข้าไปในห้องของเด็กสาวในตอนเช้า เธอคิดว่าเธอได้ค้นพบความผิดปกติอันร้ายแรงพอที่จะกล่าวโทษเด็กสาวกับพ่อของเธอได้ ซึ่งตัวแม่เลี้ยงเองก็รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยกับสิ่งที่เธอพบเห็น
ดังนั้นเธอจึงรีบเดินไปหาสามีด้วยน้ำตานองหน้าแล้วพูดถ้อยคำอันเป็นเท็จว่า
“ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว เราอย่ากันเถอะ”
ผู้เป็นสามีได้ฟังก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ยังรู้สึกสงสัยว่าเพราะเหตุใดภรรยาจึงร้องห่มร้องไห้มาพูดกับเขาเช่นนี้
“ผมทำอะไรให้คุณเสียใจหรือ หรือว่าคุณอยู่อย่างลำบากรึเปล่า” เขาถาม
“ไม่ ! ไม่! มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลย แม้แต่ในความฝันฉันก็ไม่เคยคิดว่าฉันจะต้องแยกจากคุณ แต่ถ้าฉันยังดึงดันที่จะอยู่ที่นี่ต่อ ฉันอาจจะตกอยู่ในอันตราย ฉันจึงคิดว่า มันจะเป็นการดีที่สุดหากเราจะแยกทางกัน”
เมื่อพูดจบภรรยาใหม่ก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ฝ่ายสามีก็ครุ่นคิดว่าอะไรที่เป็นสาเหตุทำให้ภรรยาต้องทุกข์ใจเช่นนี้
“คุณบอกผมได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น และทำไมคุณถึงบอกว่าคุณกำลังตกอยู่ในอันตราย ”
“ฉันจะบอกคุณตั้งแต่ …. คุณเคยถามลูกสาวของคุณไหมว่าเธอยินดีที่ฉันจะเข้ามาเป็นแม่เลี้ยงรึเปล่า บางครั้งฉันเห็นเธอเข้าไปในห้องของตัวเองและปิดประตูทั้งตอนเช้าและตอนเย็น ฉันนึกสงสัย เมื่อเดินไปใกล้ๆก็ได้ยินเสียงเหมือนลูกสาวของคุณกำลังพุดคุยกับใครบางคนอยู่ ฉันคิดว่า เธอกำลังพยายามจะฆ่าฉันด้วยเวทย์มนต์ อาถรรพ์หรือคำสาปแช่ง ฉันคิดว่าฉันไม่ปลอดภัยแล้ว ฉันต้องไปจากที่นี่ฉันไม่สามารถอยู่ร่วมบ้านเดียวกันกับเธอได้อีกแล้ว”
เมื่อสามีได้รับฟังเรื่องอันน่าสะพรึงกลัวจากผู้เป็นภรรยา แต่เขาก็ไม่สามารถเชื่อได้อย่างปักใจว่า ลูกสาวที่น่ารักและอ่อนโยนของเขาจะมีความคิดที่ชั่วร้ายเช่นนี้ เขารู้ว่าคนที่เชื่อเรื่องโชคลางมักจะคิดว่าคนคนหนึ่งสามารถตายได้จากการถูกสาปแช่งด้วยความเกลียดชังในทุกๆวัน แต่ลูกสาวตัวน้อยของเขาไปเรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาได้ยังไง จากใคร มันเป็นไปไม่ได้ แต่อย่างไรเสีย เขาก็เคยสังเกตเห็นเหมือนกันว่าลูกสาวของเขานั้นได้ขลุกอยู่ในห้องของเธอบ่อยๆซึ่งนั่นทำให้ตัวเธอเองยิ่งห่างจากทุกคนออกไปไม่เว้นแม้กระทั่งเมื่อมีแขกมาเยี่ยมที่บ้าน และเมื่อเขานำข้อเท็จจริงนี้มารวมกับคำบอกเล่าของภรรยาใหม่ที่คิดว่ามีบางอย่างที่แปลกออกไป หัวใจของเขาก็ถูกฉีกขาดออกระหว่างการสงสัยภรรยาและความไว้วางใจในลูกสาว แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป เขาตัดสินใจแล้วว่า จะไปหาลูกสาวของเขาและพยายามที่จะค้นหาความจริง จากนั้นเขาก็ปลอบโยนภรรยาและทำให้เธอมั่นใจว่าความกลัวของเธอนั้นไม่มีมูลความจริงและเขาสัญญาว่าเขาจะสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างเอง เขาจึงรีบกลับบ้านและเดินไปที่ห้องของลูกสาวอย่างเงียบๆ
ภายในห้องเด็กหญิงคนนั้นกำลังมีความสุขกับกระจกตรงหน้าของเธอ ตั้งแต่ที่พ่อของเธอแต่งงานใหม่ เธอได้ลองหลายวิธีที่จะเชื่อฟังเพื่อแสดงความรักและความปรารถนาดีต่อแม่เลี้ยงของเธอ แต่ในไม่ช้าเธอก็ได้รู้ว่าความพยายามของเธอนั้นไร้ประโยชน์ แม่เลี้ยงไม่เคยไว้ใจเธอ และดูเหมือนว่าจะตีความการกระทำของเธอผิดทั้งหมด เธอเคยคิดที่จะเล่าเรื่องนี้ให้กับผู้เป็นพ่อฟังแต่ก็กลัวว่าผู้เป็นพ่อจะต้องมากังวลกับเรื่องของเธอ แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบกับสภาพอันไม่มีความสุขในปัจจุบันกับตอนสมัยที่เธออยู่กับแม่ไม่ได้ และเมื่อเธอนึกถึงความสุขที่เคยมีมาของครอบครัวทีไร ก็ทำให้เธอร้องไห้ทั้งเช้าและเย็นอยู่เสมอๆ แต่เมื่อไรก็ตามที่เธอเดินกลับมาที่ห้อง แล้วเอากระจกมาส่องที่ใบหน้าและจ้องมอง เธอก็จะเห็นใบหน้าของมารดาที่มองเธออยู่ตลอด นั่นเป็นความสุขเพียงอย่างเดียวที่หล่อเลี้ยงจิตใจอันเศร้าหมองของเธออยู่ในตอนนี้
เมื่อผู้เป็นพ่อแอบเดินเข้ามาที่ห้องของลูกสาวอย่างเงียบๆ เขาพบว่าเธอกำลังยุ่งอยู่กับกระจกอย่างตั้งใจ แต่เมื่อมองข้ามไหล่ของเอดูเพื่อให้รู้ว่าใครกันแน่ที่เธอกำลังคุยด้วย หญิงสาวก็เห็นและตกใจที่เห็นพ่อของเธอเดินเข้ามาในห้อง เธอจึงรู้สึกสับสนเพราะตัวเองกำลังมองกระจกและเธอก็ไม่เคยบอกเรื่องแม่ของเธอในกระจกกับใคร ดังนั้นก่อนที่จะหันหน้าไปหาผู้เป็นพ่อ เธอก็ซ่อนกระจกนั้นเอาไว้ในแขนเสื้อที่ยาวของเธอ ผู้เป็นพ่อสังเกตเห็นความกังวลและการกระทำเพื่อซ่อนของอะไรบางอย่างของเธอ และพูดออกมาอย่างเสียงดัง
“ลูกมาทำอะไรที่นี่ และลูกซ่อนอะไรไว้”
หญิงสาวตกใจและหวาดกลัวถ้อยคำรุนแรงจากผู้เป็นพ่อ เนื่องจากเขาไม่เคยพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงแบบนี้มาก่อน ใบหน้าของเธอจากที่เป็นสีแดงแห่งความตกใจก็เปลี่ยนเป็นขาวซีด เธอพูดไม่ออกและอายจนไม่กล้าที่จะมองหน้าพ่อของเธอได้
และการที่ลูกสาวไม่ตอบเขาแบบนี้ทำให้ผู้เป็นพ่อคิดเอาเองว่าสิ่งที่ภรรยาใหม่ของเขาพูดอาจจะเป็นเรื่องจริง เขาจึงพูดออกไปด้วยความโมโห
“ถ้าอย่างนั้น บอกพ่อมาสิ ว่าจริงหรือไม่ที่ลูกสาปแช่งแม่เลี้ยงของลูกให้ตายในเร็ววัน ลูกลืมที่พ่อบอกไปแล้วหรือว่า ถึงเธอจะไม่ใช่แม่ที่แท้จริงของลูก แต่ลูกก็ต้องเชื่อฟังและภักดีต่อเธอ อะไรที่ทำให้ลูกเป็นคนเลวได้เช่นนี้ ลูกสาวที่น่ารักของพ่อหายไปไหน”
ดวงตาของผู้เป็นพ่อเต็มรื้นไปด้วยน้ำตาแบบฉับพลันที่เขาต้องพูดรุนแรงแบบนี้กับลูกสาว
“พ่อคะ พ่ออย่าพูดแบบนี้อีกเลยนะคะ ลูกยังคงเป็นลูกสาวคนเดิมของพ่อ หนูอาจจะเป็นคนโง่ในสายตาพ่อ แต่หนูก็ไม่เคยสาปแช่งคนที่มาอยู่กับพ่อ หนูไม่เคยทำอะไรแบบนั้นเลย พ่อน่าจะรู้จักหนูดีที่สุด ทำไมพ่อถึงต่อว่าหนูขนาดนี้ ”หญิงสาวพูดไปพลางร้องไห้เสียใจสะอึกสะอื้น
ผู้เป็นพ่อได้ฟังก็สงสารลูกสาว แต่เขาจำได้ว่าเธอซ่อนอะไรบางอย่างไว้เมื่อเห็นเขาเดินเข้าไปในห้อง และคำพูดของลูกสาวก็ทำให้เขาไม่พอใจนัก เขาจึงต้องการกำจัดข้อสงสัยของเขาทั้งหมด
“ถ้าอย่างนั้นทำไมลูกถึงชอบหมกตัวอยู่ในห้องคนเดียวตลอดเวลา และบอกพ่อหน่อยว่าลูกซ่อนอะไรไว้ในแขนเสื้อของลูก”
ฝ่ายลูกสาวเมื่อได้ฟังคำของผู้เป็นพ่อ ถึงแม้ว่าเธอจะอายที่จะสารภาพว่าเธอแอบพูดคุยกับแม่ผ่านทางกระจก แต่ก็เห็นว่าเธอต้องบอกเรื่องทั้งหมดให้ผู้เป็นพ่อได้รับรู้เพื่อที่จะยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง ดังนั้นเธอจึงเลื่อนกระจกที่ซ่อนไว้ออกจากแขนเสื้อแล้ววางไว้ข้างหน้าของผู้เป็นบิดา
“นี่… นี่คือสิ่งที่พ่อเห็นหนูคุยด้วยและซ่อนมันอยู่ค่ะ”
“ทำไม…” ผู้เป็นพ่อพูดด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง “นี่คือกระจกที่พ่อซื้อมาเป้นของขวัญให้แม่ของลูกเมื่อครั้งที่พ่อขึ้นไปทำงานที่เมืองหลวงเมื่อหลายปีก่อน ลูกเก็บมันเอาไว้ตลอดเวลาหรือ แล้วลูกใช้เวลาส่วนใหญ่ส่องกระจกนี่งั้นเหรอ” ผู้เป็นพ่อถามด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อได้ยินคำถามจากผู้เป็นพ่อ เธอก็ตัดสินใจเล่าให้เขาฟังถึงคำพูดสุดท้ายของมารดาว่าแม่ของเธอสัญญาว่าจะมาพบลูกทุกครั้ง เมื่อลูกจ้องมองไปที่กระจกบานนี้ แต่ถึงกระนั้นผู้เป็นพ่อเองก็ยังไม่เข้าใจความคิดของลูกสาว เพราะเขารู้ดีว่า ภาพที่สะท้อนออกมาให้เธอเห็นนั้นเป็นภาพใบหน้าของเธอเองไม่ใช่ของแม่
“ลูกหมายถึงอะไร” เขาถาม ”พ่อไม่เข้าใจว่าลูกจะพบกับวิญญาณของแม่ที่ตายไปแล้วในกระจกนราได้อย่างไร ”
“จริงๆนะคะพ่อ ” หญิงสาวกล่าว “ถ้าพ่อไม่เชื่อที่หนูพูด พ่อต้องลองมองดูด้วยตัวเองค่ะ” แล้วเธอก็วางกระจกไว้ตรงหน้า ซึ่งจากมุมที่เธอวางอยู่นั้นแผ่นของกระจกเงาก็สะท้อนใบหน้าของเธอเอง เธอจึงชี้ไปยังภาพสะท้อนอย่างจริงจัง
“นั่นไงคะพ่อ นั่นไงแม่ พ่อเห็นไหม” เธอถามอย่างจริงจังพร้อมเงยหน้าขึ้นมอง
ทันใดนั้นผู้เป็นพ่อก็เข้าใจทุกอย่างพร้อมกับอุทานออกมาเบาๆ
“พ่อมันโง่เอง ในที่สุดพ่อก็เข้าใจแล้ว ใบหน้าของลูกนั้นเหมือนกับใบหน้าของแม่มาก มากจนเกือบจะเป็นคนคนเดียวกัน ดังนั้นภาพที่ลูกเห็นสะท้อนในกระจกนั้น เป็นใบหน้าของลูกเอง พ่อขอโทษนะลูก พ่อขอโทษที่สงสัยลูก พ่อขอโทษที่ด่าว่าลูก พ่อไม่รู้มาก่อนเลยว่าลูกจะเหงาและโดเดี่ยวขนาดนี้ พ่อขอโทษนะลูก”
ผู้เป็นพ่อรู้สึกผิดกับลูกสาว น้ำตาแห่งความสำนึกผิดไหลออกมาอาบแก้มทั้งสองข้าง ฝ่ายแม่เลี้ยงที่อยากจะรู้เรื่องราวว่าเกิดอะไรขึ้น เธอเลือกที่จะแอบมองและฟังในสิ่งที่พ่อลูกสนทนาต่อกันทั้งหมด เมื่อรับรู้ทุกอย่างแล้ว เธอก็เดินเข้ามาในห้องนั่งลงบนเสื่อต่อหน้าลูกติดสามีพลางก้มหัวลงบนมือของเธอ
“ฉันขอโทษนะ ฉันละอายใจจริงๆ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่แตกพร่า “ฉันไม่รู้ว่าเธอเป็นลูกกตัญญูและรักแม่ของเธอมาก เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่ด้วยความอิจฉาของแม่เลี้ยงอย่างฉัน ฉันเกลียดหนูตลอดเวลา ฉันจึงคิดว่าหนูกำลังจะใช้มนต์ดำหรือสาปแช่งให้ฉันตาย ฉันมันโง่จริงๆฉันขอโทษนะ”
หญิงสาวจับมือของแม่เลี้ยงอย่างอ่อนโยนพร้อมยิ้มให้อย่างอบอุ่น เธอไม่เคยโกระเกลียดแม่เลี้ยงของเธอเลยจิตใจของเธอนั้นมีความปราณีและอ่อนน้อมอยู่เสมอ เธอเต็มใจที่จะให้อภัยแม่เลี้ยงของเธอโดยไม่รู้สึกขุ่นเคืองหรืออาฆาตพยาบาทใดๆ ฝ่ายสามีมองหน้าภรรยาและเห็นว่า เธอนั้นได้เสียใจอย่างแท้จริงและรู้สึกโล่งใจมากที่ความเข้าใจผิดต่างๆในครอบครัวของเขานั้นได้ถูกคลี่คลายลง และรู้สึกปลื้มปีติมากที่ได้เห็นการให้อภัยและไม่ติดค้างอะไรในใจกันอีกต่อไปแล้ว
จากนี้ไปทั้งสามคนจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขเหมือนปลาว่ายอยู่ในน้ำ และหมดปัญหาที่จะทำให้บ้านมืดมนอีกแล้ว เด็กสาวได้รับความรักความอบอุ่นและอ่อนโยนจากแม่เลี้ยงที่มอบความรักให้เธออย่างจริงใจ ความดี ความอดทนและความอ่อนโยนของเธอที่ผ่านมาได้รับรางวัลในที่สุด….
อ่านนิทานหรือตำนานที่น่าสนใจ คลิก